ธนาคารออมสินปิดจ๊อบขายหุ้นเงินสดทันใจ

นายวิทัย ทะเล ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เผยออกมาว่า ธนาคารออมสินตระเตรียมใช้สิทธิ์ขายหุ้น 49% ในบริษัท เงินสดทันใจ จำกัด ค่า 1,500 ล้านบาท 

ธนาคารออมสินปิดจ๊อบขายหุ้นเงินสดทันใจ

คืนให้กับบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชนหรือ SAWAD ซึ่งเป็นไปตามที่กำหนดไว้ ข่าวการเงิน ในคำสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นตั้งแต่เริ่มลงทุน ดังนี้ ธนาคารออมสินได้เข้าลงทุนในบริษัทเงินสดทันใจ เป็นระยะเวลา ปี โดยมีจุดหมายหลักเพื่อเพิ่มการแข่งขันชิงชัยในตลาดสินเชื่อจำนองทะเบียนรถยนต์รถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งการปฏิบัติการดังกล่าวมาแล้วข้างต้นสามารถปรับลดส่วนประกอบอัตราค่าดอกเบี้ยของตลาดลงได้โดยประมาณ 8-10% ต่อปี จากเดิมอยู่ที่ 26-28% ต่อปี ในตอนที่เริ่มประกาศเปิดตัวโครงงาน โดยตอนนี้อัตราค่าดอกเบี้ยลดน้อยลงมาอยู่ที่ราวๆ 16-18% ต่อปี ซึ่งยังสามารถสร้างกำไรให้กับผู้ประกอบธุรกิจในระดับที่พอดี รวมทั้งช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้ได้โอกาสเข้าถึงแหล่งเงินกู้ยืมในระบบด้วยทุนสินเชื่อที่ถูกลงรวมทั้งเที่ยงธรรม โดยบริษัทเงินสดทันใจได้อนุมัติสินเชื่อที่คิดอัตราค่าดอกเบี้ยลดลงแก่ผู้มีรายได้น้อย ปริมาณกว่า 1.7 ล้านราย รวมทั้งเดาว่ามีผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการที่ดอกถูกลงทั้งยังตลาดสินเชื่อจำนองทะเบียนรถยนต์ เป็นปริมาณกว่า ล้านราย โดยหลังจากที่ได้ดำเนินงานขายหุ้นคืน ธนาคารออมสินและก็ บมจ.ศรีสวัสดิ์ ได้ร่วมลงชื่อบันทึกกติกาความร่วมแรงร่วมมือทางธุรกิจ โดยแบงค์จะให้สินเชื่อกับเงินสดทันใจ ในอัตราค่าดอกเบี้ยที่สมควร ส่วนเงินสดทันใจจะยังปลดปล่อยสินเชื่อจำนองทะเบียนรถยนต์รถจักรยานยนต์ด้วยอัตราค่าดอกเบี้ยธรรมดาที่ไม่เกิน 18% เพื่อช่วยเหลือราษฎรผู้มีรายได้น้อยให้เข้าถึงสินเชื่อด้วยอัตราค่าดอกเบี้ยที่สมควรถัดไป

แนะนำข่าวการเงิน อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : ไทยเครดิต ประกาศเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ เป็นธนาคารแรกที่เข้าเทรดในรอบ 10 ปี

ไทยเครดิต ประกาศเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ เป็นธนาคารแรกที่เข้าเทรดในรอบ 10 ปี

นายนักปราชญ์ ไชยชนชั้น ประธานข้าราชการบริหาร แบงค์ไทยเครดิต เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชนกล่าวมาว่า แบงค์ไทยเครดิตได้ยื่นไฟลิ่ง กับที่ทำการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 

การเงิน (คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเวลาเช้าของวันนี้ (2 เดือนพฤษภาคมโดยคาดว่าจะเข้าขึ้นทะเบียนในตลาดค้าหุ้นที่เมืองไทยได้ในปลายปีนี้ โดย ไทยเครดิต นับเป็นแบงค์แรกที่เข้าเทรดในตลาดค้าหุ้นไทยในรอบ 10 ปี แบงค์ไทยเครดิตได้ยื่นไฟลิ่งกับที่ทำการ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเวลาเช้าวันนี้ โดยคาดว่าจะเข้าลงบัญชีได้ข้างในปลายปีนี้ โดยการเข้าระดมทุนเป็นการต่อยอดความแข็งแกร่งของแบงค์ในด้านการปลดปล่อยสินเชื่อกับรายย่อยดังนี้ สำหรับเพื่อการระดมทุนของแบงค์เพื่อต่อยอดธุรกิจให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น โดยธุรกิจแบงค์นั้น จะต้องใช้ทุนสำหรับการสร้างการเจริญเติบโต โดยจะมีการเสนอขายหุ้นสามัญต่อสามัญชนคราวแรก หรือ ไอพีโอ โดยคาดว่าจะมีปริมาณหุ้นที่เสนอขายทั้งปวง (รวมหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกแล้วก็เสนอขายโดยแบงค์ และก็หุ้นที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิมไม่เกิน 347,029,122 หุ้น คิดเป็นไม่เกินปริมาณร้อยละ 28.2 ของปริมาณหุ้นลงบัญชีรวมทั้งจ่ายแล้วทั้งผองของแบงค์ วันหลังวิธีการทำ ไอพีโอ รวมปริมาณหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินบางทีอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญ ในกรณีที่มีการแบ่งสรรหุ้นส่วนเกิน โดยมี แบงค์ ซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน

ไทยเครดิต ประกาศเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ เป็นธนาคารแรกที่เข้าเทรดในรอบ 10 ปี

เป็นที่ปรึกษาด้านการเงินของการเข้าระดมทุนคราวนี้ ในการเข้าระดมทุนนั้น เห็นว่าจะได้รับการตอบกลับที่ดีจากนักลงทุน

 โดยก่อนหน้าที่ผ่านมามิได้มีหุ้นแบงค์เข้าระดมทุนในตลาดหุ้นมานาน ดังนี้ ข่าวการเงิน ถึงแม้การเข้าระดมทุนจะอยู่ในช่วงปลายปีที่มีหุ้นขนาดใหญ่เข้าระดมทุน แม้กระนั้นคิดว่าจะไม่เป็นปัญหา เนื่องจากประเมินว่าสภาพคล่องในระบบยังมีอยู่สูงมากมาย อย่างไรก็แล้วแต่ แบงค์ไทยเครดิต อยู่ระหว่างการยื่นปรับฐานะจากการเป็นแบงค์เพื่อรายย่อยเป็นแบบฟูลไลเซนซ์ เพื่อไปสู่การเป็นสถาบันการเงินเต็มแบบ เพื่อต่อยอดการให้บริการที่มาขึ้นในอนาคต โดยก่อนหน้านี้ปัญหาหนึ่งของแบงค์ไทยเครดิตเป็นมีลิมิตสำหรับในการปลดปล่อยสินเชื่อ แม้ลูกค้ามีการเติบโตที่มาขึ้น รวมทั้งมีขนาดธุรกิจที่ใหญ่เกิน SME แบงค์จะไม่สามารถที่จะปลดปล่อยสินเชื่อได้ แต่ว่าถ้าเกิดมีการกลายเป็นฟูลไลเซนซ์ จะช่วยทำให้แบงค์สามารถให้สินเชื่อกับลูกค้าได้มากขึ้นในอนาคต โดยความก้าวหน้าของการยื่นขอฟูลไลเซนซ์นั้น แบงค์ได้ยื่นขอแปลงไลเซนซ์กับทางกระทรวงการคลังในตอนเดือน เดือนกันยายน ปี 2565 และก็จะใช้เวลาแปลงสถานะ ปี โดยคาดว่าจะเสร็จด้านในเดือน กันยายนปีนี้ สำหรับในการเติบโตของแบงค์ ไทยเครดิต ในปี 2565 ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา แบงค์มียอดเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ (ไม่รวมดอกค้างรับรวมทั้งรายได้ดอกที่ยังไม่ถึงเวลาจ่ายอยู่ที่ 121,298 ล้านบาท โดยเป็นเงินให้สินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี โดยมีกำไรทั้งสิ้น 2,352 ล้านบาท โดยมีอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยสะสม 30.9% ต่อปี ในระหว่างปี 2563 ถึงปี 2565 ซึ่งการเจริญเติบโตก่อนหน้าที่ผ่านมาของแบงค์ มาจากการปลดปล่อยสินเชื่อในกรุ๊ปที่นาโนไฟแนนซ์ ที่เข้าไม่ถึงสถาบันการเงิน โดยแบงค์ใช้ข้อดีสำหรับการขยายสาขาด้านสินเชื่อกว่า 500 สาขา รวมทั้งใช้คนภายในชุมชนเป็นบุคลากร เพื่อเข้าถึงกับลูกหนี้ เพื่อปลดปล่อยสินเชื่อได้อย่างมีความสามารถสูงที่สุด.

แนะนำข่าวการเงิน อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : “กรุงไทย-ทีเอ็มบีธนชาติ” ขึ้นดอกเบี้ย

“กรุงไทย-ทีเอ็มบีธนชาติ” ขึ้นดอกเบี้ย

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อให้สอดคล้องกับการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)

กรุงไทย-ทีเอ็มบีธนชาติ ขึ้นดอกเบี้ย

ข่าว มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% และได้ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของประเทศนั้น ธนาคารจึงจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้สะท้อนทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศและต้นทุนการเงินในระบบที่เพิ่มสูงขึ้น โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 0.05%-0.25% ต่อปี เพื่อส่งเสริมการออม สำหรับดอกเบี้ยเงินกู้ปรับขึ้นดังนี้ ดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) เพิ่มขึ้น 0.20% ต่อปี เป็น 6.35% ต่อปี ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทวงเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) เพิ่มขึ้น 0.15% ต่อปี เป็น 6.87% ต่อปี และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อย (MRR) 0.10% ต่อปี เป็น 6.87% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2566 เป็นต้นไป ด้านนายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) กล่าวว่า ข่าวการเงิน ธนาคารปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.10% ต่อปี ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นที่น้อยกว่าดอกเบี้ยนโยบายเพื่อดูแลลูกค้าสินเชื่อทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง สำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจธนาคารได้ออกอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลูกค้าชั้นดี (PLR: Prime Lending Rate) ด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษ 2.75% ต่อปี ส่วนดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก บัญชีเงินฝากประจำพิเศษ ทีทีบี อัพ แอนด์ อัพ 24 เดือน ปรับอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงสุดจาก 2.50% เป็น 3.00% ต่อปี และบัญชีทีทีบี มีเซฟ เงินฝากดิจิทัล ปรับดอกเบี้ยรวมโบนัสขึ้นจาก 1.70% เป็น 2.00% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.เป็นต้นไป.

เงินเฟ้อ คืออะไร มีผลกระทบต่อประชาชน และเศรษฐกิจอย่างไร?

เงินเฟ้อ คืออะไร มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประชาชนมากน้อยขนาดไหน ธปท. มีคำตอบ

การเงิน เงินเฟ้อ คืออะไร ? เงินเฟ้อ คือ ภาวะที่ราคาสินค้า-บริการโดยทั่วไปเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง หากเงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้นจะกระทบฐานะ และความเป็นอยู่ของประชาชนดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีหน่วยงานทำหน้าที่ควบคุมดูแลเรื่องเงินเฟ้อ คือ กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารแห่งประเทศไทยกระทรวงพาณิชย์ ส่วนหนึ่งคือการดูแลราคาสินค้าและบริการไม่ให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาส หรือเอาเปรียบผู้บริโภค หรือตรึงราคาไว้ในช่วงที่สินค้าขาดแคลนระยะสั้น นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ติดตามรวบรวมข้อมูลราคาสินค้า และบริการที่ผู้บริโภคซื้อเป็นประจำทุกวันจากตลาดและแหล่งจำหน่ายต่างๆ ทั่วประเทศ นำมาคำนวณจัดทำเป็นดัชนีที่เรียกว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนทราบภาวะเงินเฟ้อสามารถวัดได้จากการเปลี่ยนแปลงของดัชนีดังกล่าว ซึ่งเรียกตัวชี้วัดนี้ว่า “อัตรเงินเฟ้อ”ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินนโยบายการเงินผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อดูและเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวน เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว และความกินดีอยู่ดีของประชาชน เงินเฟ้อ เกิดจากอะไร ? สาเหตุของการเกิดเงินเฟ้อแบ่งได้ 2 สาเหตุหลักๆ คือประชาชนต้องการซื้อสินค้า และบริการเพิ่มขึ้น (เรียกว่า Demand-Pull Inflation) ประกอบกับสินค้าและบริการนั้นๆ ในตลาดมีไม่เพียงพอ ทำให้ผู้ขายปรับราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น (เรียกว่า Cost-Push Inflation) คือ หากผู้ผลิตไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้ จะทำให้ผู้ผลิตต้องปรับราคาสินค้าและบริการให้สูงขึ้นด้วย เงินเฟ้อกับเงินฝืดต่างกันอย่างไร ?ตรงกันข้ามกับภาวะเงินเฟ้อ ภาวะเงินฝืดเกิดขึ้นเมื่อระดับราคาสินค้าและบริการลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุหลายประการ เช่น ความต้องการซื้อสินค้าและบริการของประชาชนลดลง หรือ ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ มีไม่เพียงพอกับความต้องการ ซึ่งอาจทาให้ราคาสินค้าปรับลดลง ผู้ผลิตก็อาจไม่ต้องการผลิตสินค้าและบริการในปริมาณเท่าเดิม ท าให้ลดก าลังการผลิตลง และส่งผลให้เศรษฐกิจซบเซาในที่สุดจะเห็นได้ว่า ทั้งภาวะเงินเฟ้อและเงินฝืด

เงินเฟ้อ คืออะไร มีผลกระทบต่อประชาชน และเศรษฐกิจอย่างไร

กิดจากการเคลื่อนไหวขึ้นลงของเศรษฐกิจตามวัฏจักร แต่หากมีความรุนแรงและยืดเยื้อ ก็ล้วนส่งผลเสียต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความกินดีอยู่ดีของประชาชนด้วยกันทั้งสิ้น

ผลกระทบเงินเฟ้อต่อประชาชนทั่วไป รายจ่ายหรือภาระค่าครองชีพสูงขึ้น ทาให้ประชาชนมีอานาจซื้อน้อยลง ข่าวการเงิน มีความสามารถจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการได้น้อยลง และอาจทาให้รายได้ที่มีหรือเงินที่หามาได้ไม่เพียงพอกับการยังชีพอัตราเงินเฟ้อยิ่งสูง จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่หักเงินเฟ้อออก หรือที่เรียกว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง จะมีค่าลดลงไป เนื่องจากดอกเบี้ยที่เราได้รับเอาไปใช้ซื้อของได้น้อยลง ยกตัวอย่างกรณีที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี แต่หากอัตราเงินเฟ้อหรือราคาเพิ่มขึ้นมาร้อยละ1 อาจกล่าวได้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงหรือผลตอบแทนสุทธิที่ได้รับจริงๆ อยู่ที่ร้อยละ 0.5 ต่อปีเท่านั้น แต่หากปีต่อไป อัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังเท่าเดิม แต่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นไปอยู่ที่ร้อยละ 2อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจะกลายเป็นร้อยละ – 0.5 ต่อปีซึ่งถือว่ากาลังซื้อของผู้ฝากเงินลดลง การฝากเงินทาให้ได้รับผลตอบแทนจริงๆ ติดลบ ทาให้ผู้ฝากไม่อยากออมเงิน และอาจหันไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น ทองค า อสังหาริมทรัพย์และหุ้น เป็นต้น ทาให้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วย หากไม่มีความรู้เพียงพอในการบริหารจัดการ ก็อาจท าให้เกิดเป็นภาระหนี้สินได้ ผลกระทบเงินเฟ้อต่อผู้ประกอบการ-นักธุรกิจเมื่อสินค้ามีราคาแพงขึ้น ยอดขายก็จะลดลง ในขณะเดียวกัน ต้นทุนการผลิตก็จะสูงขึ้นด้วย ส่งผลให้เจ้าของธุรกิจบางรายอาจตัดสินใจชะลอการผลิต ลดการลงทุนและการจ้างงาน ทาให้คนตกงานมากขึ้น ความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจในประเทศลดลง เนื่องจากราคาสินค้าส่งออกของเราจะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับราคาสินค้าออกของประเทศอื่นๆ ผลกระทบเงินเฟ้อต่อประเทศ ในภาวะที่ประชาชนซื้อของน้อยลง ธุรกิจไม่สามารถขายของได้การลงทุนเพื่อผลิตสินค้าก็จะชะลอออกไป ท าให้การพัฒนาศักยภาพการผลิตของประเทศในระยะยาวอาจชะลอลงตามไปด้วย ถ้าอัตราเงินเฟ้อสูงจนทาให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบนานๆ ประชาชนก็จะหันไปเก็งกาไรในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง สะสมปัญหาฟองสบู่ในสินทรัพย์ต่างๆ (asset price bubble)และความไม่สมดุลในภาคการเงินของประเทศได้ เช่น หนี้ครัวเรือน บทบาทของหน่วยงานในการแก้ปัญหาภาวะเงินเฟ้อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงพาณิชย์ จะใช้เครื่องมือนโยบายการเงินดูแลคาดการเงินเฟ้อ โดยมีคณะกรรมการนโยบายการเงินดูแลรักษาระดับของเงินเฟ้อผ่านเครื่องมือ 3 ประเภท ดังนี้

แนะนำข่าวการเงิน อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : ธอส.ขนมาตรการแก้ไขหนี้ เติมเงิน เสริมสภาพคล่องช่วยเหลือประชาชน

 

ธอส.ขนมาตรการแก้ไขหนี้ เติมเงิน เสริมสภาพคล่องช่วยเหลือประชาชน

ธอส.จัดงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” สัญจร ครั้งที่ 4 จ.ชลบุรี

การเงิน ร่วมสถาบันการเงินของรัฐ ธนาคารพาณิชย์ และหน่วยงานพันธมิตร ให้คำปรึกษา แก้ไขหนี้ เติมเงิน เสริมสภาพคล่องให้กับประชาชนพื้นที่ภาคตะวันออกและพื้นที่ใกล้เคียง นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ มอบหมายให้ ธอส. เป็นเจ้าภาพจัดงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่ อย่างยั่งยืน” สัญจร ครั้งที่ 4 จ.ชลบุรี ระหว่างวันที่ 20-22 มกราคม 2566 ณ ศาลาประชาคมเทศบาลเมืองบ้านสวนจ.ชลบุรี ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2565 เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ธอส.ขนมาตรการแก้ไขหนี้ เติมเงิน เสริมสภาพคล่องช่วยเหลือประชาชนธอส. ได้เตรียมนำมาตรการช่วยเหลือแก้หนี้และผลิตภัณฑ์ทางการเงินเงื่อนไขหรืออัตราดอกเบี้ยพิเศษให้บริการลูกค้าประชาชน ทั้งการแก้หนี้ ให้ความช่วยเหลือลูกค้า NPL สูงสุด 2 ปี โดยในช่วงเดือนที่ 1-10 ผ่อนชำระเงินงวดเพียงงวดละ 1,000 บาท คิดดอกเบี้ยเท่ากับ 0% ต่อปี (ตัดชำระเงินต้นทั้งหมด) ขณะที่เดือนที่ 11-18 คิดเงินงวดจากอัตราดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี และเดือนที่ 19-21 คิดเงินงวดจากอัตราดอกเบี้ย 3.90% ต่อปี เดือนที่ 22-24 คิดเงินงวดจากอัตราดอกเบี้ย MRR-2.00% ต่อปี หากลูกค้าชำระเกินที่ธนาคารกำหนด จะนำไปตัดดอกเบี้ยค้างชำระของลูกค้า(ถ้ามี) เติมเงิน กับสินเชื่อรีไฟแนนซ์ อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.40% ต่อปี (เท่ากับ 2.75%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.90% ต่อปี (เท่ากับ 3.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.40% ต่อปี (เท่ากับ 3.75%) เฉลี่ย 3 ปี แรกเพียง 3.25% (อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารปัจจุบันเท่ากับ 6.150% ต่อปี) การออมเงิน กับเงินฝาก Happy Savings อัตราดอกเบี้ยสูงถึง 2.25% ต่อปี และสลากออมทรัพย์ ธอส. ผลตอบแทนคุ้มค่า ดอกเบี้ยและเงินรางวัลสูง และ เติมที่อยู่อาศัย กับบ้านมือสอง ธอส. ที่จะพบกับทรัพย์เด่น 1,000 กว่ารายการ ทั่วประเทศ ลดราคาสูงสุด 50% พร้อมสิทธิพิเศษผ่อนดาวน์ 0% นานสูงสุด 36 เดือน ทุกรายการ การจัดงานดังกล่าว สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ที่กำหนดให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน

ธอส.ขนมาตรการแก้ไขหนี้ เติมเงิน เสริมสภาพคล่องช่วยเหลือประชาชน

ภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่แม้ว่าในปัจจุบันจะคลี่คลายลง และเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แต่ปัญหาภาระหนี้ของประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ ข่าวการเงิน หรือมีศักยภาพในการชำระหนี้ต่ำลงยังคงมีอยู่ ธอส. ได้ประสานความร่วมมือกับสถาบันการเงินของรัฐและเอกชน รวมถึงหน่วยงานพันธมิตร รวม 23 หน่วยงาน จัดทำมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินอย่างครบวงจรให้กับประชาชนและผู้ประกอบการ การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง สร้างอาชีพเพิ่มรายได้ บริการทางการเงิน และเลือกซื้อบ้านมือสอง หรือทรัพย์ NPA โดยผลของการจัดงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ สัญจร 3 ครั้งที่ผ่านมา ที่กรุงเทพฯ จ.ขอนแก่น และ จ.เชียงใหม่ ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ได้รับความสนใจจากประชาชนและผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยมีผู้ขอรับบริการภายในงานรวมกว่า 25,000 รายการ ภายในงานยังมีบริการให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหาหนี้กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย,การให้คำปรึกษาในการแก้ไขหนี้เสียบัตรเครดิตกับคลินิกแก้หนี้ โดยบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM), การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ NPA กับบริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (BAM) และบริษัท บริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (IAM) และสถาบันการเงินอื่น ๆ ที่มีราคาส่วนลดและเงื่อนไขพิเศษ, การบริการตรวจสุขภาพทางการเงินฟรี กับบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร), การเติมความรู้วางแผนจัดการเงินส่วนบุคคล รู้ทันกลโกงการลงทุนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), การให้คำปรึกษา วางแผนการออมเพื่อการเกษียณกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และบริการทางการเงินอีกมากมายจากสถาบันการเงินพันธมิตร ขณะเดียวกัน จะมีกิจกรรม Highlight บนเวทีตลอดทั้ง 3 วัน อาทิ การบรรยายหัวข้อ “อยู่อย่างไรให้ปลอดหนี้ และเสริมดวงแก้หนี้” กับ หมอช้าง ทศพร ศรีตุลา, “เซ็นอย่างไรไม่ให้เป็นหนี้ และอยู่บ้านอย่างไรไม่ให้เป็นหนี้” กับ ซินแสเป็นหนึ่ง วงษ์ภูดร และหัวข้อ “บริหารหนี้อย่างไร ให้การเงินมั่นคง” กับโค้ชหนุ่ม Money Coach จักรพงษ์ เมษพันธุ์ นอกจากนี้ ภายในงานยังมีผลิตภัณฑ์จากวิสาหกิจชุมชนจากชาวบ้านในชุมชนต่าง ๆ มาจำหน่ายอีกด้วย

แนะนำข่าวการเงิน อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : ตลาดสกุลเงินเอเชียอ่อนค่า ดอลลาร์ทรงตัว

ตลาดสกุลเงินเอเชียอ่อนค่า ดอลลาร์ทรงตัว

สกุลเงินเอเชียส่วนใหญ่ร่วงลงในวันพุธ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวจากการร่วงลงอย่างหนักเมื่อเทียบกับเงินเยน

การเงิน ขณะที่สกุลเงินญี่ปุ่นอ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน เนื่องจากตลาดเข้าใจการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น ค่าเงินเยน ลดลง 0.3% เป็น 132.06 ต่อดอลลาร์ หลังจากพุ่งขึ้นกว่า 3% ในช่วงก่อนหน้า BoJ ตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในวันอังคาร แต่กลับขยายช่วงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอย่างเหนือความคาดหมาย ซึ่งช่วยให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลผันผวนได้ โดยตลาดถือเป็นสัญญาณว่าในที่สุดธนาคารก็ตั้งใจที่จะเข้มงวดกับนโยบายการเงินท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น สิ่งนี้สนับสนุนเงินเยนอย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากช่องว่างที่กว้างขึ้นระหว่างอัตราดอกเบี้ย ในประเทศ และ สหรัฐฯ ในปีนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นเกือบ 0.45% ซึ่งใกล้เคียงกับขีดจำกัดช่วงใหม่ที่ BoJ ได้กำหนดเมื่อวันอังคารการเพิ่มขึ้นของเงินเยนส่งผลกระทบต่อดัชนีดอลลาร์อย่างมาก โดยทำให้ร่วงลงเกือบ 1% ในวันอังคารและใกล้เคียงกับระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน แต่ตอนนี้เงินดอลลาร์ดูเหมือนจะคงที่จากการขาดทุนล่าสุด โดยทั้ง ดัชนีดอลลาร์ และ ดัชนีดอลลารฟิวเจอร์ส เพิ่มขึ้น 0.1% ในวันพุธเมื่อรวมกับความกลัวว่าธนาคารกลางจะเข้มงวดขึ้นอีกในปี 2023 ก็ส่งผลกระทบต่อสกุลเงินเอเชียส่วนใหญ่ ค่าเงินรูปีอินเดีย ลดลง 0.1% ขณะที่เงิน วอนเกาหลีใต้ และเงิน บาทไทย ร่วงลงอย่างละ 0.3% สกุลเงินในภูมิภาคส่วนใหญ่ก็ร่วงลงในวันอังคารตามการตัดสินใจของ BoJ เนื่องจากมันบ่งชี้ถึงความเคลื่อนไหวที่รุนแรงมากขึ้นจากธนาคารกลางที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก เงินหยวนจีน ลดลง 0.1% แต่ได้รับแรงหนุนบ้างหลังจากที่

ตลาดสกุลเงินเอเชียอ่อนค่า ดอลลาร์ทรงตัว

ธนาคารกลางจีน รักษาอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หลักให้คงที่เป็นเดือนที่สี่ติดต่อกันในวันอังคาร รัฐบาลจีนกำลังดิ้นรนเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ

และควบคุมการอ่อนค่าของเงินหยวนความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด19 ของจีน ข่าวการเงิน ส่งผลกระทบต่อตลาดเอเชีย เนื่องจากเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้เผชิญกับการติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก หลังจากที่ผ่อนคลายข้อจำกัดการเคลื่อนไหวหลายอย่างเมื่อต้นเดือนนี้ ในขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวในที่สุดเนื่องจากการกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง พวกเขาได้เตือนถึงความผันผวนในระยะสั้นเมื่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้นความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในปี 2023 ยังทำให้ความต้องการสกุลเงินเอเชียอ่อนค่าลง เนื่องจากตลาดกลัวว่าการเคลื่อนไหวอย่างเร่งรีบจากธนาคารกลางและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจะบั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงในปีหน้า BoJ เป็นธนาคารกลางประเทศล่าสุดในกลุ่มตลาดที่พัฒนาแล้วส่งสัญญาณการบังคับใช้นโยบายที่เข้มงวด โดยการเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้เกิดความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการชะลอตัวของการเติบโต

แนะนำข่าวการเงิน อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กเลย : ออมสินกระตุ้นยอดกดเงินสดข้ามปี ฟรีดอกเบี้ย-ค่าธรรมเนียม

 

ออมสินกระตุ้นยอดกดเงินสดข้ามปี ฟรีดอกเบี้ย-ค่าธรรมเนียม

ออมสินกระตุ้นยอดกดเงินสด อัดแคมเปญดอกเบี้ย 0% ข้ามปี ตั้งแต่ 17 ธ.ค.65 – ก.พ.66

ออมสินกระตุ้นยอดกดเงินสดข้ามปี ฟรีดอกเบี้ย-ค่าธรรมเนียม

การเงิน วันที่ 18 ธันวาคม 2565 ธนาคารออมสิน จัดแคมเปญสิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเงินสดธนาคารออมสิน โดยสิทธิพิเศษต่อที่ 1 คือ รับอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน 0% เมื่อถอนเงินสดที่เครื่อง ATM ทุกธนาคาร ระหว่างวันที่ 17 ธันวาคม 2565 – 15 กุมภาพันธ์ 2566ส่วนพิเศษต่อที่ 2 คือ รับฟรี กระเป๋าเดินทางล้อลาก ขนาด 20 นิ้ว ลายลิขสิทธิ์ จำนวน 1 ใบ เมื่อเบิกถอนเงินสด ระหว่างวันที่ 17 ธันวาคม 2565 – 15 กุมภาพันธ์ 2566 สะสมครบ 30,000 บาทขึ้นไป และมียอดคงค้างไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท 2 รอบบัญชีออมสิน ตรึงดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท ช่วยเหลือลูกค้ารายย่อย พร้อมประกาศขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุด 0.40% ต่อปี ตอกย้ำบทบาทสถาบันเพื่อการออม วันที่ 9 ธันวาคม 2565 นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จาก 1.00% ต่อปี เป็น 1.25% ต่อปี เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 นั้น เพื่อเป็นการดูแลลูกค้าเงินกู้ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่เป็นฐานลูกค้าของธนาคาร รวมถึงประชาชนที่กำลังต้องการเข้าถึงแหล่งทุนที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและกระทรวงการคลังที่ให้สถาบันการเงินของรัฐตรึงดอกเบี้ยเงินกู้ช่วยเหลือลูกค้าและประชาชน ธนาคารจึงประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทไว้ต่อไป ขณะเดียวกัน เพื่อให้ผู้ฝากเงินได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ข่าวการเงิน ธนาคารจึงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุด 0.40% ต่อปี ทั้งนี้ เพื่อมุ่งส่งเสริมการออมให้ประชาชนและช่วยเพิ่มกำลังซื้อในช่วงการปรับตัวไปพร้อมกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป

กสิกรไทย ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากประจำสูงสุด 0.50%

แบงค์เกษตรกรไทย ปรับขึ้นดอกเงินกู้ยืม MLR-MOR 0.25% ดอกฝากประจำ 0.10-0.50%

นายกฤษณ์ จิตต์แจ้ง กรรมการผู้จัดการ แบงค์เกษตรกรไทย (KBANK) กล่าวมาว่า แบงค์สนองตอบต่อการขึ้นอัตราค่าดอกเบี้ยหลักการ เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคาแล้วก็เศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวของธนาคารชาติ (ธนาคารแห่งประเทศไทยโดยฝั่งเงินกู้ยืมนั้น เพื่อกระทบลูกค้ารายย่อยต่ำที่สุดแบงค์ก็เลยส่งผ่านอัตราค่าดอกเบี้ยแบบค่อยๆเป็น ค่อยๆไป โดยปรับเพิ่มดอกเงินให้สินเชื่อเฉพาะลูกค้ารายใหญ่ 0.25% ส่งผลเมื่อวันที่ เดือนตุลาคม 65 ดังต่อไปนี้

การเงิน

อัตราค่าดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นเลิศ ชนิดเงินกู้ยืมแบบมีช่วงเวลา (MLR) ปรับเพิ่ม 0.25% จาก 5.47% เป็น 5.72%
อัตราค่าดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่คุณภาพดี ชนิดเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับเพิ่ม 0.25% จาก 5.84% เป็น 6.09%
อย่างไรก็แล้วแต่ เพื่อเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นได้อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งเพื่อเพิ่มกำลังซื้อและก็ช่วยเหลือลูกค้ารายย่อย แล้วก็ผู้ประกอบการรายย่อยในสภาวะที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง แบงค์ก็เลยปรับเพิ่มอัตราค่าดอกเบี้ยเงินออมประจำให้สูงมากขึ้น 0.10-0.50%